1.แหล่งข้อมูลการสืบค้นบนเครือข่ายอินเทอร์เน็ต
หลักการค้นหาข้อมูลความรู้ผ่านเครือข่ายคอมพิวเตอร์
ใน
การทำงานต่างๆ เช่น นักศึกษาทำการบ้านหรือทำรายงานส่งอาจารย์
หรือพนักงานบริษัทเตรียมการสั่งซื้อสินค้าจากต่างประเทศ
มักจะต้องมีการหาข้อมูลประกอบการทำงานนั้นๆ บางครั้งข้อมูลอาจเป็นเพียงข้อมูลง่ายๆ
เช่น ราคาสินค้า อัตราแลกเปลี่ยนระหว่างเงินบาทกับดอลลาร์สหัสรัฐ เป็นต้น
แต่บางครั้งอาจเป็นข้อมูลเชิงลึกที่ต้องมีการวิเคราะห์ เช่น
แนวโน้มสภาวะเศรษฐกิจโลกในช่วง 1-2 ปี
ซึ่งต้องมีการพิจารณาปัจจัยต่างๆ
รวมถึงเหตุการณ์ที่อาจเกิดหรือไม่เกิดในอนาคตประกอบด้วย ดังนั้นคำว่าข้อมูลความรู้ในที่นี้
จะรวมหมายถึงตั้งแต่ข้อมูลพื้นฐาน
และข้อมูลที่ผ่านการประมวลผลและ/หรือจัดหมวดหมู่แล้วซึ่งเรียกว่า สารสนเทศ
ตลอดจนถึงข้อมูลเชิงลึกที่มีการวิเคราะห์ซึ่งควรจะเรียกได้ว่าความรู้ทั้งหมดนี้เป็นสิ่งที่เราสามารถค้นหาได้จากเครือข่ายคอมพิวเตอร์
ต่อไปนี้เราจะใช้คำว่าข้อมูลในความหมายกว้างที่รวมทั้งข้อมูล สารสนเทศ
และความรู้ด้วย
1. ต้องมีความรู้เบื้องต้นเกียวกับข้อมูลที่ต้องการ
คือ
1.1 รู้ว่าข้อมูลที่ต้องการนั้นเป็นข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องอะไร
1.2 รู้ว่าแหล่งข้อมูลที่มีข้อมูลนั้น น่าจะเป็นหน่วยงานใด
1.3 รู้ว่าสำคัญที่เกี่ยวข้องกับข้อมูลนั้น มีอะไรบ้าง
2. ต้องรู้จักวิธีเข้าเว็บไซต์ต่างๆ
(นักเรียนคงมีโอกาสได้เรียนรู้ในชั่วโมงปฏิบัติการ)
3. ต้องรู้จักวิธีใช้โปรแกรมสืบค้นข้อมูล
หรือ เซิร์จเอ็นจิน (Search engine) ซึ่งจะมีรายละเอียดในหน่วยการเรียนรู้
4. ต้องรู้จักใช้ดุลพินิจว่า
4.1
ข้อมูลที่ได้มาเป็นข้อมูลที่ตรงกับความต้องการหรือไม่
4.2
ข้อมูลที่ได้มาเป็นข้อมูลที่เชื่อถือได้หรือไม่
ทั้งสองประเด็นนี้
จะมีคำแนะนำในหน่วยการเรียนรู้
การค้นหาข้อมูล
1.เครือข่ายคอมพิวเตอร์แบบต่าง ๆ และข้อมูลที่มีอยู่ในเครือข่าย
· อินทราเน็ต (Intranet)
คือ
ระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์แบบภายในองค์กร ใช้เทคโนโลยีอินเทอร์เน็ต
ในการใช้งานอินทราเน็ตจะต้องใช้โพรโทคอล IP เหมือนกับอินเทอร์เน็ต
สามารถมีเว็บไซต์และใช้เว็บเบราว์เซอร์ได้เช่นกัน รวมถึงอีเมล
ถ้าเราเชื่อมต่ออินทราเน็ตของเรากับอินเทอร์เน็ต เราก็สามารถใช้ได้ทั้ง
อินเทอร์เน็ต และ อินทราเน็ต ไปพร้อม ๆ กัน
แต่ในการใช้งานนั้นจะแตกต่างกันด้านความเร็ว ในการโหลดไฟล์ใหญ่ ๆ
จากเว็บไซต์ในอินทราเน็ต จะรวดเร็วกว่าการโหลดจากอินเทอร์เน็ตมาก
ดังนั้นประโยชน์ที่จะได้รับจากอินทราเน็ต สำหรับองค์กรหนึ่ง คือ
สามารถใช้ความสามารถต่าง ๆ ที่มีอยู่ในอินเทอร์เน็ตได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ
·
เอกซ์ทราเน็ต (Extranet)
คือระบบเครือข่ายซึ่งเชื่อมเครือข่ายภายในองค์กร
หรือ อินทราเน็ต (intranet) เข้ากับระบบคอมพิวเตอร์ที่อยู่ภายนอกองค์กร
เช่น ระบบคอมพิวเตอร์ของสาขาของผู้จัดจำหน่าย หรือของลูกค้า เป็นต้น
โดยการเชื่อมต่อเครือข่ายอาจเป็นได้ทั้งการเชื่อมต่อโดยตรงระหว่าง 72 จุด
หรือการเชื่อมต่อแบบเครือข่ายเสมือน (virtual network) ระหว่างระบบอินทราเน็ตหลาย ๆ
เครือข่ายผ่านอินเทอร์เน็ตก็ได้ ระบบเครือข่ายแบบเอกซ์ทราเน็ต
โดยปกติแล้วจะอนุญาตให้ใช้งานเฉพาะสมาชิกขององค์กร
หรือผู้ที่ได้รับสิทธิในการใช้งานเท่านั้น
โดยผู้ใช้จากภายนอกที่เชื่อมต่อเข้ามาผ่านเครือข่ายเอกซ์ทราเน็ต อาจแบ่งเป็นประเภท
ๆ เช่น ผู้ดูแลระบบ สมาชิก คู่ค้า หรือผู้สนใจทั่ว ๆ ไป เป็นต้น
ซึ่งผู้ใช้แต่ละกลุ่มจะได้รับสิทธิในการเข้าใช้งานเครือข่ายที่แตกต่างกันไป
·
อินเทอร์เน็ต (Internet)
หมายถึง เครือข่ายคอมพิวเตอร์ขนาดใหญ่
ที่มีการเชื่อมต่อระหว่างเครือข่ายหลาย ๆ เครือข่ายทั่วโลก โดยใช้ภาษาที่ใช้สื่อสารกันระหว่างคอมพิวเตอร์ที่เรียกว่า
โพรโทคอล (protocol) ผู้ใช้เครือข่ายนี้สามารถสื่อสารถึงกันได้ในหลาย
ๆ ทาง อาทิ อีเมล เว็บบอร์ด และสามารถสืบค้นข้อมูลและข่าวสารต่าง ๆ
รวมทั้งคัดลอกแฟ้มข้อมูลและโปรแกรมมาใช้ได้
·
รูปแบบของข้อมูลในเครือข่ายของคอมพิวเตอร์ประเภทต่างๆ
เครือข่ายคอมพิวเตอร์ทั้ง 3 ประเภทที่กล่าวแล้ว
เป็นเครือข่ายที่จัดตั้งขึ้นโดยมีวัตถุประสงค์ต่างกัน ดังนั้น
รูปแบบของการนำเสนอของข้อมูลและการเปลี่ยนแปลงขอมูลจึงอาจแตกต่างกันได้
โดยเฉพราะอย่างยิ่งในกรณีของอินทราเน็ตแลเอ็กซ์ทราเน็ต ซึ่งผู้ใช้บริการเป็นสมาชิกในวงปิดอาจใช้รูปแบบและวิธีการของตัวเอง
แต่ในกรณีเป็นเครือข่ายสาธารณะจะต้องใช้รูปแบบและวิธีการที่เป็นมาตรฐานสากล
สำหรับเครือข่ายอินเทอร์เน็ตปัจจุบัน
รูปแบบการนำเสนอข้อมูลและวิธีการเปลี่ยนข้อมูลที่แพร่หลายมากจนกลายเป็นมาตรฐานไปแล้ว
คือรูปของ WWW ซึ่งมีอิทธิพลสูงมาก
ทำให้เครือข่ายเกือบทุกประเภทเปลี่ยนมาใช้ตามเป็นส่วนใหญ่เนื่องจากผู้ใช้มีความคุ้นเคยเป็นอย่างดีแล้ว
2.การสืบค้นข้อมูลจากอินเทอร์เน็ต
ใช้วิธีการที่เรียกว่า
เซิร์จเอ็นจิน (Search engine) ซึ่งเป็นโปรแกรมค้นหาข้อมูลอัตโนมัติ
การค้นหาทำได้โดยการพิมพ์ คำสำคัญ หรือ คีย์เวิร์ด (Key Word) เข้าไปในช่องที่กำหนด แล้วคลิกที่ปุ่ม SEARCH หรือ GO
โปรแกรมค้นหาจะเริ่มทำงาน การแสดงผลการค้นหาจะแสดงชื่อเว็บไซต์ URL
และ มักจะแสดงสาระสังเขปของเว็บไซต์นั้นๆ ด้วย
เพื่อช่วยให้ผู้คนหาสามารถตัดสินใจในเบื้องต้นว่าเว็บไซต์นั้นมีข้อมูลที่
ต้องการหรือไม่ เนื่องจากอินเทอร์เน็ตมีข้อมูลจำเป็นจำนวนมาก
บางครั้งเซิร์จเอ็นจิน จะพบข้อมูลข้อมูลนับพันนับหมื่นรายการ
ซึ่งทำให้เสียเวลากลั่นกรองหาข้อมูลที่ต้องการจริงๆ เซิร์จเอ็นจิน
บางตัวจะมีระบบค้นหาที่ละเอียดขึ้น เรียกว่า แอดวานซ์เชิร์จ(Advanced
search หรือ Refined search) โดยให้ผู้ค้นหาสามารถระบุเงื่อนไขได้
เช่น หากจะค้นหาโดย ใช่คีย์เวิร์ด “e-commerce” อาจจะค้นพบเป็นหมื่นรายการ
แต่ถ้าคีย์เวิร์ด “e-commerce in Thailand” อาจค้นพบเป็นร้อย
และถ้าใช้คีย์เวิร์ด “e-commerce in Thailand AND NOT handicraft”ก็อาจค้นพบน้อยลงเหลือไม่กี่รายก็เป็นได้ วิถีการดังกล่าว เรียกว่าการ
การกรอง(Filter) ซึ่งอาศัยการตั้งเงื่อนไขเชื่อมโยงกันด้วยคำที่เป็น
Boolean Operators ได้แก่คำว่า AND,OR,NOT ทำ ให้มีผลเท่ากับการเลือกเงื่อนไขแบบใช่ทั้งหมด
ใช้บางส่วนหรือไม่ใช้บางเงื่อนไข วิธีจะพบโปรแกรมค้นหาส่วนมาก
ผู้แต่งใช้โปรแกรมค้นหาหลายโปรแกรมอาจสับสน
เพราะแต่ละโปรแกรมจะมีวิธีการกำหนดการกำหนดให้พิมพ์เงื่อนไขต่างกัน เช่น
บางโปรแกรมให้ใช้เครื่องหมายบวก(+) แทน AND แต่บางโปรแกรมอาจใช้เครื่องหมายเดียวกันแทน
OR เป็นต้น
ผู้ใช้จึงต้องศึกษาและปฏิบัติตามคำแนะนำของแต่ละโปรแกรม
โปรแกรมค้นหาที่นิยมใช้กันมาก เพราะมีความสามารถสูงนั้น
มีอยู่ตามเว็บไซต์ต่อไปนี้
http://www.google.com
http://www.altavista.com
http://www.excite.com
http://www.yahoo.com เป็นต้น
3.คำแนะนำในการใช้ Google
3.1 การค้นหาแบบง่าย
ให้พิมพ์คำที่เกี่ยวข้องกับสิ่งที่ต้องการ้นหาเพียง 2-3
คำลงไป แล้วกดแป้น Enter หรือคลิกที่ปุ่ม Go บนหน้าจอ Google ก็จะแสดงเว็บเพจที่ค้นพบ
โปรแกรมค้นหาของ Google จะ
แสดงเฉพาะเว็บเพจที่มีคำทุกคำที่ท่านได้พิมพ์ลงไปดังนั้น ถ้ายิ่งใส่จำนวนคำลงไปมาก
จำนวนเว็บเพจที่ค้นพบจะยิ่งลดจำนวนลง
เพราะเป็นการค้นหาที่มีเงื่อนไขมากขึ้นนั้นเอง
3.2
ข้อควรทราบเกี่ยวกับหลักการทำงานของ Google เพื่่อการค้นหาชั้นสูง
1.อักษรภาษาอังกฤษตัวเล็กตัวใหญ่มีผลไม่ต่างกัน
2.คำว่า
and มีอยู่แล้วโดยปริยาย เฉพาะ Google จะหาเฉพาะเว็บเพจที่มีคำครบทุกคำ
จึงไม่มีความจำเป็นต้องใช้ and เพื่อเชื่อมระหว่างคำหลัก
แต่ลำดับก่อนหลังของคำหลักจะให้ผลที่แตต่างกัน
3.คำสามัญประเภท
a, an ,the , where, how จะถูกตัดทิ้งโดยอัตโนมัติ
รวมทั้งตัวอักขระโดดๆ เพราะคำพวกนี้ทำให้การค้นหาช้าลง
และไม่้ช่วยให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีขึ้นแต่อย่างใด
ในกรณีที่ท่านต้องการให้ใช้คำสามัญคำใดในการค้นหาด้วย
ท่าจะต้องนำหน้าคำนั้นด้วยเครื่องหมายบวก (+)
4.การกำหนดเงื่อนไขไม่ใช่คำบางคำในการค้นหา
โดยนำหน้าคำนั้นด้วยเครื่องหมายลบ (-) เช่นต้องการหาเว็บเพจที่เกี่ยวกับ e-Commerce
Thailand- handicraft
5.การกำหนดให้ใช้คำที่มีความหมายคล้ายกัน
(Synonym) ด้วย ให้นำหน้าคำนั้นด้วยเครื่องหมาย tilde
6.การเลือกคำหลักใดรใช้คำตรงๆ
7.รูปคำต่างกันที่มีมากจากรากศัพท์เดียวกันจะได้รับพิจารณาโดยอัตโนมัติ
8.การค้นกาตามหมวดสาขา
(Category)
9.Google มีหน้าเว็บพิเศษสำหรับช่วยให้สามารถทำการค้นหาชั้นสูงได้ง่ายขึ้น
4.ไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์ (e-mail)
เป็น
การติดต่อสื่อสารผ่านเครือข่ายคอมพิวเตอร์ที่มีประสิทธิภาพสูงมากแบบหนึ่ง
แต่มีข้อจำกัดตรงที่ทั้งผู้ส่งและผู้รับต้องมีอีเมลแอดเดรส (email address) หลักการเช่นเดียวกับการส่งจดหมายทางไปรษณีย์
กล่าวคือผู้ส่งใช้โปรแกรมรับส่งอีเมล เช่น ไมโครซอฟต์เอาต์ลุก (Microsoft
Outlook) หรือโปรแกรมเว็บเมล (Wed mail) เป็นต้น
โปรแกรมไมโครซอฟต์เอาต์ลุกปกติจะมากับชุดโปรแกรมไมโครซอฟต์ออฟฟิศ
ใช้สำหรับรับส่งอีเมลได้ทุกกรณี แต่ต้องมีการติดตั้ง (Set-up) ก่อน ใช้จึงเป็นการไม่สะดวกนักหากผู้ใช้ต้องการจะไปรับส่งอีเมลที่เครื่อง
คอมพิวเตอร์อื่นนอกจากเครื่องที่ตนใช้เป็นประจำ
วิธีการรับส่งแบบเว็บเมลเป็นวิธีที่สะดวกกว่า เพียงแต่ผู้ใช้เข้าสู่อินเตอร์เน็ต
แล้วเข้าสู่เว็บไซต์ที่เป็นเครื่องแม่ข่าย (Host) ของอีเมลแอดเดรสที่ตนใช้อยู่
และเลือกคลิกที่ปุ่ม e-mail หรือ Mail โปรแกรมเว็บเมลซึ่งติดตั้งอยู่ในเครื่องนั้นก็พร้อมที่จะทำงานทันที
5. กระดาษข่าวอิเล็กทรอนิกส์ (Web forum)
เป็นการติดต่อสื่อสารผ่านเครือข่ายคอมพิวเตอร์ที่คล้ายกับการเขียนข้อความไว้บนกระดาน
เพื่อให้กลุ่มคนที่ต้องการจะสื่อสารกับกันมาอ่านและเขียนโต้ตอบกันได้
แต่กระดานในที่นี้เป็นกระดานิเล็กทรอนิกส์ที่ปรากฏบนหน้าจอคอมพิวเตอร์ของผู้ใช้แต่ละรายปัจจุบันนี้
เว็บไซต์บางแห่งจัดตั้งเป็นเวทีแสดงความคิดเห็นในเรื่องต่างๆ
แยกเป็นแต่ละกระดานสำหรับแต่ละเรื่อง เช่น กรณีเว็บไซต์ www.pantip.com เป็นต้น นอกจากนั้น เว็บไซต์บางแห่งอนุญาตให้มีการจัดตั้ง
"ชุมชน"
สำหรับกลุ่มคนที่มีความสนใจเรื่องเดียวกันใช้สื่อสารกันด้วยจดหมาย เอกสาร รูปภาพ
ฯลฯนักเรียนสามารถเข้าไปดูตัวอย่างกิจกรรมประเภทนี้ได้ที่ http://groups.msn.com/
6. ห้องสมุด แหล่งข้อมูลความรู้
นับตั้งแต่มีการพิมพ์หนังสือเกิดขึ้นในศตวรรษที่ 18
อารยธรรมของมนุษย์มีการบันทึกเพื่อถ่ายทอดแก่อนุชนรุ่นหลังอย่างเป็นระบบ
การแต่งหนังสือและการพิมพ์เผยแพร่เป็นจำนวนครั้งละมากๆทำให้การเรียนรู้สามารถขยายขอบเขตออกไปอย่างรวดเร็ว
ยิ่งกว่านั้นนังสือที่สามารถอนุรักษ์ความรู้ไว้ได้เป็นเวลายาวนานมากกว่าความยืนยาวของชีวิตมนุษย์หลายสิบเท่า
ห้องสมุดซึ่งเป็นที่เก็บรักษาหนังสือ จึงมีการจัดการที่เป็นระบบ
ทำให้ค้นหาหนังสือที่ต้องการได้ง่าย
จึงเป็นแหล่งข้อมูลความรู้ที่มีแระสิทธิภาพสูงมาก
7. Digital Library ห้องสมุดบนเครือข่ายคอมพิวเตอร์ Digital Library
(ห้องสมุดอิเล็กทรอนิกส์)
หมายถึงการจัดเก็บสารสนเทศในรูปแบบของสื่ออิเล็กทรอนิกส์
แทนที่จะจัดเก็บในรูแปบบสื่อพิมพ์ ขณะนี้ได้เริ่มมีการใช้วิธีการเช่นนี้แล้ว
แต่คงต้องรออีกนานทีเดียวกว่าที่ห้องสมุดอิเล็กทรอนิกส์จะสามารถแทนที่ห้องสมุดแบบดั้งเดิม
หือแม้แต่เพียงจะสามารถมีบทบาทเทียบเคียงกับห้องสมุดแบบดั้งเดิม
ที่เป็นเช่นนี้เพราะมีเหตุผลหลายประการ ประการแรก
สิ่งพิมพ์ี่มีอยู่แล้วมีเป็นจำนวนมาก หากจะนำมาดิจิไทซ์
หรือแปลงเป็นสารสนเทศแบบดิจิทัล ก็ต้องลงทุนลงแรงมหาศาลประการที่สอง
ผู้ใช้สารสนเทศส่วนใหญ่ในยุคปัจจุบันยังคุ้นเคยกับการอ่านหนังสือมากกว่าการแ่านจากจอคอมพิวเตอร์
แต่เรื่องนี้อาจเปลี่ยนแปลงได้
เมื่อคนรุ่นใหม่ที่คุ้นเคยกับการใช้คอมพิวเตอร์จำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ
และพัฒนาการของจอคอมพิวเตอร์ทำให้อ่านได้สบายตามากขึ้นสามารถอ่านได้ครั้งละนานๆมากขึ้น
8. แหล่งข้อมูลของประเทศไทยบนเครือข่ายคอมพิวเตอร์
เครือข่ายอินเทอร์เน็ต
เป็นเครือข่ายที่มีคอมพิวเตอร์แม่ข่ายที่ติดตั้งอยู่ทั่วโลกเชื่อมโยงกันจำนวนมากเครื่องแม่ข่ายแต่ละเครื่องมีข้อมูลข่าวสารยางอย่างบางประเภทบรรจุอยู่
เช่น ถ้าเป็นเครื่องแม่ข่ายของบริษัทเครื่องแม่ข่ายแต่ละเครื่องมีข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับรถยนต์รุ่นต่างๆ
ของบริษัทนั้นข้อมูลเกี่ยวกับการรับบริการต่างๆจากบริษัทผลิตรถยนต์
ก็จะมีข้อมูลประเภทรู้ที่เกี่ยวข้อง เช่น
ประวัติศาสตร์เป็นมาและพัฒนาการของรถยนต์เทคโนโลยีใหม่ๆ เกี่ยวกับยานยนต์
มลพิษจากไอเสียของรถยนต์และวิธีบำบัดป้องกัน วิธีการขับรถยนต์อย่างมีประสิทธิภาพ
เป็นต้น
ประเทศไทยเราก็ได้มีการจัดตั้งเว็บไซต์ขึ้นเป็นจำนวนมาก
ทั้งของภาครัฐและเอกชน
ในที่นี้จะได้กล่าวถึงเว็บไซต์ที่คิดว่าจะมีประโยชน์สำหรับนักเรียน โดยจะแยกกล่าวเป็นแต่ละประเภทของข้อมูลหลักในเว็บไซต์นั้นๆ
เว็บไซต์ประเภท Portal หรือ Gateaway
หรือชุมทาง
ที่กล่าวถึงเว็บไซต์ประเภทนี้เป็นประเภทแรก
เพราะเป็นประเภทที่มีประโยชน์มาก เวลาที่เราไม่แน่ใจว่าจะหาข้อมูลประเภทที่ต้องการได้จากแหล่งใด
หากเราเข้าไปที่เว็บไซต์ประเภทนี้
จะพบว่าในเว็บไซต์ได้ทำจุดเชื่อมโยงไปยังเว็บไซต์อื่นโดยจัดเป็นประเภทไว้
ทำให้เราสามารถหาแหล่งข้อมูลที่ต้องการได้ง่ายขึ้น
คล้ายกับการค้นหาหมายเลขโทรศัพท์ในสมุดโทรศัพท์หน้าเหลืองนั่นเอง เว็บไซต์ชุมทางที่สำคัญในประเทศไทยคือ
http://www.nectec.or.th
เว็บไซต์ประเภทของการศึกษา เว็บไซต์การศึกษาในประเทศไทย มีจำนวนมากทั้งของสถานบันอุดมศึกษา
และของโรงเรียนต่างๆ เว็บไซต์ที่อาจถือได้ว่าเป็นเว็บไซต์ชุมทางประเภทการศึกษา
ได้แก่
1. เว็บไซต์โครงการ SchoolInet
@ 1509 (http://www.school.net.th) เป็นเว็บไซต์ชุมทางสำหรับเว็บไซต์ต่างๆ
ที่เป็นสมาชิกโครงการ SchoolINet และที่เกี่ยวข้องกับการศึกษาระดับต่ำกว่าอุดมศึกษา
2.เว็บไซต์ LearnOnline
(http://www.learn.in.th) ของสถาบันบัณฑิตวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีไทย (Thailand Graduate
I nstitute of Science and Technology TGIST) เป็นเว็บไซต์สำหรับการเรียนรู้ด้วยตนเอง
ผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ต เน้นสาขาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ในทุกระดับการศึกษา
และมีทำเนียบเชื่อมโยงไปสู่เว็บไซต์อื่น ที่ให้บริการในลักษณะเดียวกัน
เว็บไซต์ประเภทศิลปวัฒนธรรม
เว็บไซต์วัฒนธรรมไทย http://www.culture.go.th ของสำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ
จัดว่าเป็นเว็บไซต์หลักในเว็บไซต์ประเภทนี้
นอกจากนี้ข้อมูลด้านศิลปวัฒนธรรมมักจะมีปรากฏอยู่บ้างตามเว็บไซต์ของสถานบันอุดมศึกษาต่างๆและของภาคเอกชนที่เกี่ยวกับธุรกิจการท่องเที่ยว
เว็บไซต์ประเภทท้องถิ่น
เว็บไซต์ประเภทนี้กำลังเพิ่มจำนวนขึ้นอย่างรวดเร็วเว็บไซต์ชุมทางของประเภทนี้
ได้แก่ http://www.thaitambon.com
ซึ่งเป็นที่รวบรวมเก็บไซต์ของตำบลต่างๆ ทั่วประเทศไทย
เพื่อสนับสนุนโครงการหนึ่งตำบลหนึงผลิตภัณฑ์นอกจากนี้จังหวัดใหญ่ๆ
โดยเฉพาะอย่างยิ่งจังหวัดที่เป็นแหล่งท่องเที่ยวก็มักจะมีเว็บไซต์ของจังหวัด
และสถาบันดารศึกษาทั้งระดับอุดมศึกษาและระดับโรงเรียนก็มักจะบรรจุข้อมูลเกี่ยวกับท้องถิ่นไว้ในเว็บไซต์ของสถาบันด้วย
เว็บไซต์ประเภทวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
เว็บไซต์ของสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ หรือ สวทช. (http://www.nstda.or.th) เป็นเว็บไซต์สำหรับสารสนเทศด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ซึ่งมีการเชื่อมโยงไปยังเว็บไซต์ทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เช่น เว็บไซต์ของศูนย์วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติทังสามได้แก่
http://www.nectec.or.th
http://www.mtec.or.th
http://www.biotec.or.th และ
เว็บไซต์ของหน่วยงานอื่นๆที่เกี่ยวกับวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
เว็บไซต์ประเภทพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์
พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ (e-commerce) หมายถึง
การทำกิจกรมที่เกี่ยวกับการค้าขายผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์
โดยเฉพาะอย่างยิ่งผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ต
ขณะนี้การพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์กำลังขยายตัวอย่างรวดเร็วทั่วโลก
ทั้งการค้าปลีกหรือค้าส่งการซื้อขายสินค้าหรือบริการ ในยุคโลกาภิวัฒน์นี้
ทำให้ประเทศไทยสามารถในการแข่งขันทางการค้าด้วยพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์จึงเป็นอีกเรื่องหนึ่งที่คนไทยจะต้องเรียนให้รู้และทำให้เป็น
เว็บไซต์ http:///www.ecommerce.or.th ของศูนย์พัฒนาพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์
นับว่าเป็นเว็บไซต์ทางการที่มีหน้าที่เผยแพร่ความรู้เกี่ยวกับพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์
นับว่าเป็นเว็บไซต์ทางการทีมีหน้าทีเผยแพร่ความรู้เกี่ยวกับพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์
แต่น่าเสียดายที่เว็บไซต์นี้กลับไม่มีตัวอย่างของการดำเนินงานด้านพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ให้เห็นเป็นรูปธรรม
โดยตัวอย่าง
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น